มนุษย์เลือกเกิดไม่ได้แต่เลือกทำดีได้
การนำเรื่อง
“มนุษย์เลือกเกิดไม่ได้แต่เลือกทำดีได้” มาเป็นหัวข้อสนทนาธรรมในครั้งนี้
ถือเป็นปรากฏการณ์อย่างหนึ่งของคนในสังคมไทย ไม่ว่าจะประกอบอาชีพอะไร
มีฐานะอย่างไรก็ตาม เมื่อไม่ได้สิ่งที่ตนเองมีความต้องการหรือตั้งความปรารถนาไว้ก็มักจะโทษเรื่องของบุญวาสนาว่า
“เรามันเลือกเกิดเองไม่ได้” ซึ่งเป็นความรู้สึกนึกคิดของปุถุชนโดยทั่วไป
บางครั้งถึงกับท้อใจ หมดกำลังใจที่จะต่อสู้บนโลกใบนี้อีกต่อไป
แท้ที่จริงแล้วถ้าเราได้ศึกษาหลักธรรมในพุทธศาสนาให้มากขึ้นสักนิด
เราก็จะรู้ว่าสรรพสิ่งทั้งหลายที่เกิดขึ้นมาในโลกนี้รวมทั้งชีวิตของเรา
ล้วนมีเหตุปัจจัยปรุงแต่งทั้งสิ้น เป็นไปตามธรรมชาติที่เกื้อกูลกันเหมือนดังลูกโซ่ที่เกี่ยวพันกันแบบไม่มีจุดจบที่เรียกว่า
“ปฏิจจสมุปบาท”ดังที่พระพุทธองค์ได้ทรงแสดงไว้แล้วในอริยสัจสี่ เพราะมีเหตุ ทุกข์จึงเกิด เช่น ถ้าเราไม่ก่อเหตุที่ผิดศีลผิดธรรม ความเดือดร้อน ความทุกข์ทรมานก็จะไม่เกิดแก่เราในทางตรงกันข้าม ถ้าเราทำแต่ความดีเป็นบุญ เป็นกุศล ผลแห่งความดี คือความสุข ความเจริญย่อมจะเกิดแก่เราได้ แม้แต่พระพุทธองค์เองท่านก็เริ่มต้นตั้งแต่ คิดดี ทำดี เป็นเหตุตั้งแต่ต้น ที่ทรงเห็นคุณค่าของความดี จึงได้บำเพ็ญบารมีจนครบถ้วนเป็นเวลาถึงสี่อสงไขยกับแสนกัป เพื่อปรารถนาจะเป็นพระพุทธเจ้า ในที่สุดเมื่อบารมีครบถ้วนเป็นเหตุย่อมส่งผลให้พระพุทธองค์สำเร็จพระสัมมาสัมโพธิญาณเป็นพระพุทธเจ้าได้ดังที่พระองค์ตั้งความปรารถนามาแต่ชาติก่อนๆ และหากได้ศึกษาถึงอัครสาวกและบุคคลสำคัญๆในพุทธศาสนาอย่างเช่นพระนางสิริมหามายา พระพุทธมารดา พระโมคคัลลานะ พระสารีบุตร พระอานนท์ และนางวิสาขา เป็นต้น ท่านทั้งหลายล้วนแต่ตั้งความปรารถนาและสร้างบุญกุศลเป็นปฐมเหตุด้วยกันทั้งนั้น ดังนั้นทุกชีวิตที่เกิดขึ้นมาในโลกนี้รวมทั้งตัวเราเองสามารถที่จะเลือกเกิดได้ด้วยการตั้งความปรารถนาไว้ และเริ่มสร้ารงบุญกุศลเป็นปฐมเหตุ เมื่อบุญพอดี หรือบารมีครบสมบูรณ์แล้ว ผลของความดีย่อมส่งผลให้เราได้เป็นอย่างที่เราตั้งความปรารถนาไว้
“ปฏิจจสมุปบาท”ดังที่พระพุทธองค์ได้ทรงแสดงไว้แล้วในอริยสัจสี่ เพราะมีเหตุ ทุกข์จึงเกิด เช่น ถ้าเราไม่ก่อเหตุที่ผิดศีลผิดธรรม ความเดือดร้อน ความทุกข์ทรมานก็จะไม่เกิดแก่เราในทางตรงกันข้าม ถ้าเราทำแต่ความดีเป็นบุญ เป็นกุศล ผลแห่งความดี คือความสุข ความเจริญย่อมจะเกิดแก่เราได้ แม้แต่พระพุทธองค์เองท่านก็เริ่มต้นตั้งแต่ คิดดี ทำดี เป็นเหตุตั้งแต่ต้น ที่ทรงเห็นคุณค่าของความดี จึงได้บำเพ็ญบารมีจนครบถ้วนเป็นเวลาถึงสี่อสงไขยกับแสนกัป เพื่อปรารถนาจะเป็นพระพุทธเจ้า ในที่สุดเมื่อบารมีครบถ้วนเป็นเหตุย่อมส่งผลให้พระพุทธองค์สำเร็จพระสัมมาสัมโพธิญาณเป็นพระพุทธเจ้าได้ดังที่พระองค์ตั้งความปรารถนามาแต่ชาติก่อนๆ และหากได้ศึกษาถึงอัครสาวกและบุคคลสำคัญๆในพุทธศาสนาอย่างเช่นพระนางสิริมหามายา พระพุทธมารดา พระโมคคัลลานะ พระสารีบุตร พระอานนท์ และนางวิสาขา เป็นต้น ท่านทั้งหลายล้วนแต่ตั้งความปรารถนาและสร้างบุญกุศลเป็นปฐมเหตุด้วยกันทั้งนั้น ดังนั้นทุกชีวิตที่เกิดขึ้นมาในโลกนี้รวมทั้งตัวเราเองสามารถที่จะเลือกเกิดได้ด้วยการตั้งความปรารถนาไว้ และเริ่มสร้ารงบุญกุศลเป็นปฐมเหตุ เมื่อบุญพอดี หรือบารมีครบสมบูรณ์แล้ว ผลของความดีย่อมส่งผลให้เราได้เป็นอย่างที่เราตั้งความปรารถนาไว้
เพื่อให้การสนทนาธรรมครั้งนี้เป็นไปตามชื่อเรื่องที่กำหนดจึงขอนำเอาเรื่องของนางอัมพปาลีหญิงงามเมือง
หรือหญิงนครโสเภณี ที่กล่าวไว้ในมหาปรินิพพานสูตร
นางอัมพปาลีถึงแม้เธอจะมีอาชีพที่คนสมัยนี้ดูว่าต้อยต่ำ
แต่ด้วยความงดงามของเธอที่มีความสวยที่สุดในแคว้นวัชชี
ทำให้บรรดากษัตริย์ลิจวีทั้งหลาย และมหาเศรษฐีในยุคนั้นต่างหมายปองที่จะได้เชยชมนาง
การที่นางอัมพปาลีต้องเกิดมาเป็นผู้หญิงที่มีอาชีพต้องบำรุงบำเรอความสุขให้ผู้ชายก็เป็นด้วยเหตุปัจจัยที่เธอเคยทำมาแล้วในอดีตชาติ
แต่เธอเป็นผู้มีรูปร่างงดงามมีจิตใจงามก็เป็นเพราะความดีที่เธอทำไว้ในอดีตชาติเช่นเดียวกัน
จึงมักจะได้ยินอยู่เสมอในกลุ่มของชาวพุทธที่ปฏิบัติธรรมว่า
สิ่งทั้งหลายทั้งปวงที่เกิดขึ้นกับคนทั่วๆ ไปหรือแม้แต่ตัวเราเองไม่มีคำว่า
“บังเอิญ” ทั้งหลายทั้งปวงล้วนเป็นบุญและบาปที่เราทำมาแล้วทั้งสิ้น
ส่วนนางอัมพปาลีนางได้ใช้เรือนร่างของนางประกอบอาชีพ เป็นหญิงนครโสเภณีก็จริงอยู่
ซึ่งถ้าเป็นคนสมัยนี้อาจจะพูดว่าก็คนมันเลือกเกิดไม่ได้
ถ้าเลือกเกิดได้หรือเป็นได้ คงไม่มีใครที่อยากจะประกอบอาชีพแบบนี้ในยุคนี้สมัยนี้ก็ยังมีกันอยู่
มีทั้งแบบเปิดเผย หรือทำอย่างอื่นบังหน้า
ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นอาชีพที่ไม่มีใครอยากเลือกที่จะเป็น
แต่เพราะความไม่รู้ที่เรียกว่า “อวิชชา”
เป็นเหตุทำให้การเกิดของผู้คนเหล่านี้เกิดความผิดพลาด
ซึ่งเป็นผลมาจากกรรมที่ทำไว้ในอดีตทั้งสิ้น ดังเช่นเรื่องของนางอัมพปาลี
หากย้อนอดีตไปถึง ๓๑ กัป นางอัมพปาลีเคยเกิดเป็นลูกสาวของของพราหมณ์ในนครอมรปุระ ในยุคของพระพุทธเจ้าที่มีพระนามว่า “พระสิขีทศพล” นางได้ทำกรรมหนักไว้ด้วยการปรามาส ภิกษุณีรูปหนึ่งที่สำเร็จอรหันต์แล้วว่าเป็นหญิงแพศยา ผลของกรรมครั้งนี้ทำให้นางต้องไปเกิดในนรกเป็นเวลาแสนนาน และเมื่อพ้นโทษจากนรกแล้วได้เกิดเป็นมนุษย์ที่มีรูปร่างงดงามแต่ต้องมีอาชีพเป็นหญิงแพศยานับหมื่นๆชาติ จนกระทั่งชาติสุดท้ายได้ถือกำเนิดโดยอุบัติขึ้นมาเอง ที่เรียกว่าพวก “โอปปาติกะ” เป็นสาวสวยรูปงามใต้ต้นมะม่วงในอุทยานกรุงเวสาลี จึงได้ชื่อว่านาง “อัมพปาลี” ด้วยความสุดสวยของนางจึงทำให้พวกกษัตริย์ลิจฉวี ต่างหมายปองแย่งชิงนางเพื่อเอามาเชยชม นางจึงถูกพิพากษาให้เป็นนางคณิกาหรือหญิงงามเมืองของกรุงเวสาลี ด้วยเศษของกรรมในอดีตที่ยังหลงเหลืออยู่ แต่ด้วยกุศลธรรมที่นางได้ทำไว้ในอดีตชาติเช่นกัน ในพรรษาสุดท้ายของพระพุทธองค์ในยุคนี้นางจึงมีโอกาสได้เข้าเฝ้าพระพุทธองค์ ขณะที่เสด็จมาประทับอยู่ ณ สวนมะม่วงของนางอัมพปาลี นางจึงกราบทูลอาราธนาพระพุทธองค์พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ ไปรับบิณฑบาตที่บ้านของนาง ฝ่ายกษัตริย์ลิจฉวีรู้ข่าวว่านางอัมพปาลีจะถวายภัตตาหารพระพุทธองค์ จึงขอร้องนางให้สละสิทธิ์โดยยินยอมให้กษัตริย์ลิจฉวีเป็นผู้ถวายแทน และยินยอมตอบแทนด้วยการให้เงินถึงแสนกหาปณะ ปรากกว่านางอัมพปาลีไม่ยอม และยังตอบไปว่า แม้จะยกกรุงเวสาลีให้นาง นางก็จะไม่ยอมเสียสิทธิ์ครั้งนี้ ซึ่งเป็นการแสดงออกซึ่งความศรัทธาของนางที่มีแด่พระพุทธองค์ หลังจากเสร็จภัตกิจที่บ้านนางอัมพปาลีแล้ว นางได้ถวายสวนมะม่วงให้เป็นอารามของสงฆ์โดยมีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน ซึ่งถือเป็นวัดสุดท้ายในพุทธศาสนามีชื่อตามชื่อของนางอัมพปาลีโดยชื่อว่า “อัมพปาลีวัน”
หากย้อนอดีตไปถึง ๓๑ กัป นางอัมพปาลีเคยเกิดเป็นลูกสาวของของพราหมณ์ในนครอมรปุระ ในยุคของพระพุทธเจ้าที่มีพระนามว่า “พระสิขีทศพล” นางได้ทำกรรมหนักไว้ด้วยการปรามาส ภิกษุณีรูปหนึ่งที่สำเร็จอรหันต์แล้วว่าเป็นหญิงแพศยา ผลของกรรมครั้งนี้ทำให้นางต้องไปเกิดในนรกเป็นเวลาแสนนาน และเมื่อพ้นโทษจากนรกแล้วได้เกิดเป็นมนุษย์ที่มีรูปร่างงดงามแต่ต้องมีอาชีพเป็นหญิงแพศยานับหมื่นๆชาติ จนกระทั่งชาติสุดท้ายได้ถือกำเนิดโดยอุบัติขึ้นมาเอง ที่เรียกว่าพวก “โอปปาติกะ” เป็นสาวสวยรูปงามใต้ต้นมะม่วงในอุทยานกรุงเวสาลี จึงได้ชื่อว่านาง “อัมพปาลี” ด้วยความสุดสวยของนางจึงทำให้พวกกษัตริย์ลิจฉวี ต่างหมายปองแย่งชิงนางเพื่อเอามาเชยชม นางจึงถูกพิพากษาให้เป็นนางคณิกาหรือหญิงงามเมืองของกรุงเวสาลี ด้วยเศษของกรรมในอดีตที่ยังหลงเหลืออยู่ แต่ด้วยกุศลธรรมที่นางได้ทำไว้ในอดีตชาติเช่นกัน ในพรรษาสุดท้ายของพระพุทธองค์ในยุคนี้นางจึงมีโอกาสได้เข้าเฝ้าพระพุทธองค์ ขณะที่เสด็จมาประทับอยู่ ณ สวนมะม่วงของนางอัมพปาลี นางจึงกราบทูลอาราธนาพระพุทธองค์พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ ไปรับบิณฑบาตที่บ้านของนาง ฝ่ายกษัตริย์ลิจฉวีรู้ข่าวว่านางอัมพปาลีจะถวายภัตตาหารพระพุทธองค์ จึงขอร้องนางให้สละสิทธิ์โดยยินยอมให้กษัตริย์ลิจฉวีเป็นผู้ถวายแทน และยินยอมตอบแทนด้วยการให้เงินถึงแสนกหาปณะ ปรากกว่านางอัมพปาลีไม่ยอม และยังตอบไปว่า แม้จะยกกรุงเวสาลีให้นาง นางก็จะไม่ยอมเสียสิทธิ์ครั้งนี้ ซึ่งเป็นการแสดงออกซึ่งความศรัทธาของนางที่มีแด่พระพุทธองค์ หลังจากเสร็จภัตกิจที่บ้านนางอัมพปาลีแล้ว นางได้ถวายสวนมะม่วงให้เป็นอารามของสงฆ์โดยมีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน ซึ่งถือเป็นวัดสุดท้ายในพุทธศาสนามีชื่อตามชื่อของนางอัมพปาลีโดยชื่อว่า “อัมพปาลีวัน”
ต่อมาพระวิมลโกณฑัญญะเถระ
บุตรชายของนางอัมพปาลีที่เกิดจากพระเจ้าพิมพิสาร แห่งแคว้นมคธ
นี่ก็เป็นเพราะความงามของเธอ แม้กษัตริย์แห่งแคว้นมคธซึ่งมีนางสิริมา
เป็นหญิงงามเมืองสวยที่สุดของแคว้นมคธอยู่แล้วยังแอบมาชมเชยนางอัมพปาลีถึงแคว้นวัชชีซึ่งเป็นเรื่องปกติของทางโลก
แต่เรื่องของทางธรรม คือ พระวิมล ซึ่งเป็นบุตรของนางอัมพปาลี ท่านบรรลุอรหันต์แล้ว
มีความกตัญญูต่อผู้เป็นมารดาจึงได้มาเทศน์โปรดนางอัมพปาลี
ซึ่งขณะนั้นมีอายุมากแล้ว ทำให้นางอัมพปาลีเห็นแจ้งในสังขารที่เสื่อมไปตามกาลเวลา
จากที่เคยเป็นสาวสวยรูปงามจนกระทั่งเสื่อมโทรมชราลง
นางอัมพปาลีจึงขอบวชในพุทธศาสนา จนกระทั่งบรรลุอรหันต์ในที่สุด
เรื่องของนางอัมพปาลี
จึงให้คติธรรมหลายประการ เช่น เรื่องของกรรม
เมื่อใครก็ตามได้ทำกรรมไว้แล้วย่อมจะหนีไม่พ้น แม้แต่พระพุทธองค์เองก่อนจะปรินิพพาน
พระองค์ก็ยังต้องเสวยเศษของกรรมในอดีตชาติ ทั้งกรรมที่เป็นเจตนาก็ดี มิได้เจตนาก็ดี
ตราบใดที่ยังไม่นิพพานแล้ว กรรมซึ่งมีทั้งฝ่ายที่เป็นกุศล และอกุศล
ย่อมจะติดตามสนองเราจนถึงที่สุด ซึ่งได้ยกขึ้นเป็นข้อสนทนาธรรมตามหัวข้อที่ว่า
“เลือกเกิดไม่ได้ แต่เลือกที่จะทำดีได้” ไว้ในเบื้องต้น
เพื่อแสดงให้เห็นผลแห่งกรรมที่ทำไว้แล้วในอดีตชาติ ซึ่งนับชาติกันไม่ถ้วน
กรรมเหล่านั้นย่อมส่งผลให้ผู้ทำกรรมไว้จนถึงที่สุด ส่วนจะไปเกิดเป็นอะไรนั้น
ไม่ว่าจะลงไปนรก ไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน ไปเกิดเป็นมนุษย์ ไปเกิดเป็นเทวดา
และเป็นพรหม ก็ล้วนแต่กรรมเป็นตัวกำหนดทั้งสิ้น
และเมื่อเราได้ชื่อว่าเป็นพุทธมามะกะแล้ว ทำไมเราจึงไม่เลือกที่จะทำแต่ความดี
เหมือนนางอัมพปาลี ที่ปลดปล่อยตนเองจากอดีตชาติที่เคยทำกรรมไม่ดีไว้
ปล่อยวางเรื่องไม่ดีทั้งหลายที่เกิดขึ้นในปัจจุบันชาติ ยอมชดใช้กรรมในอดีตชาติ
มุ่งที่จะสร้างกุศลความดีในพุทธศาสนา จนถึงที่สุดของความดีได้บวชเป็นภิกษุณี จนกระทั่งสำเร็จเป็นพระอรหันต์
จึงขอถือโอกาสนี้อนุโมทนาบุญกับภิกษุณีอัมพปาลีที่มีศรัทธาในพระพุทธองค์เหนือสิ่งอื่นใด
และเป็นผู้ที่ถวายอารามไว้ในพุทธศาสนาเป็นอารามสุดท้ายของพุทธศาสนา
ก่อนที่พระพุทธองค์จะเสด็จเข้าสู่ปรินิพพาน
ซึ่งเป็นสาระสำคัญที่นำมาเสนอในการสนทนาธรรมครั้งนี้ และขอผลความดีครั้งนี้จงบังเกิดแก่ทุกท่านที่ติดตามเรื่องของนางอัมพปาลีมาโดยตลอด
ให้ได้รับบุญกุศลโดยทั่วกันทุกท่าน ทุนคนเทอญ สาธุ ๆ ๆ
บรรณานุกรม :มหามกุฏราชวิทยาลัยมูลนิธิ : พระไตรปิฏกภาษาไทย
ฉบับสยามรัฐ เล่ม ๗๐ กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์มหามกุฏราชวิทยาลัย, ๒๕๕๐
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น